เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o มี.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะในพระพุทธศาสนาเราสอนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมๆ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรม กราบธรรมคือสัจธรรม คือความเสมอภาค

 

ความเสมอภาค ความทัดเทียมกัน ถ้าความเสมอภาค ทัดเทียมกัน คนก็เท่ากับคน ถ้าคนเท่ากับคน แต่คนเกิดมา คนมีอำนาจวาสนา คนทำสิ่งใดประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา นั่นเขามีอำนาจวาสนาของเขา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาก็ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนกัน ไอ้เราคนทุกข์จนเข็ญใจ เราจะปากกัดตีนถีบขนาดไหนเราก็เป็นคน นี่ความเสมอภาคกันโดยความเป็นคน

 

แม้แต่รัฐธรรมนูญยังยอมรับ รัฐธรรมนูญยังประกันความเสมอภาคของการเป็นมนุษย์ ถ้าความเป็นมนุษย์ๆ มนุษย์เป็นคนเท่ากันทั้งนั้นน่ะ ถ้าตามสิทธิ์ๆ สิทธิเสรีภาพเสมอภาคกัน แต่มันจะแตกต่างกันด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยการกระทำ เพราะคนทำแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำคุณงามความดีก็ต้องได้สิ่งที่ดีตอบสนอง

 

แต่ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ ถ้าอริยทรัพย์แล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็พยายามสร้างคุณงามความดีของเรา สร้างคุณงามความดีของเรา แต่ความดีของใคร วุฒิภาวะของคนมันแตกต่างกัน

 

ถ้าวุฒิภาวะของคนแตกต่างกันนะ ทางโลกจะขอให้ร่ำให้รวยทั้งนั้นน่ะ ไม่มีสิ่งใดที่ว่าเป็นธรรม เป็นการเสียสละ เป็นความเสมอภาค สิ่งใดที่เราจะได้ผลประโยชน์มันต้องเป็นของเราทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นผลประโยชน์นะ

 

แต่ถ้าคนที่จิตใจเขาสูงส่ง สิ่งที่เป็นธรรมาภิบาลๆ ธรรมาภิบาลทำสิ่งใดประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ แต่ในปัจจุบันนี้โลกคือการแข่งขัน มีความแข่งขันนะ การแข่งขันกันมันก็ต้องแข่งขันเพื่อความเจริญงอกงาม ความแข่งขันกันเพื่อความดีงามไง ถ้าความดีงาม ความดีก็เป็นความดีไง สิ่งใดที่จะขาดตกบกพร่องไปบ้างก็เป็นเรื่องความพอใจของเรา แต่มันไม่เป็นความพอใจของเรา คนมองภาพสิ่งใดเป็นลบ คนนั้นจะมีความทุกข์ความยากในหัวใจ เห็นไหม คนถ้ามองภาพเป็นบวกๆ นี่พูดถึงทางโลก

 

เพราะทางโลก มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีกฎหมาย กฎหมายรอนสิทธิ์ของคนคนหนึ่งเพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขไง กฎหมายรอนสิทธิ์นะ สิทธิเสรีภาพมันจะตัดรอนไปด้วยกฎหมายนั้น โดยกฎหมายความเสมอภาค กฎหมายในบ้านของเรายังเป็นกฎหมายระหว่างกฎกติกาของโลก นี่เป็นเรื่องของโลกนะ

 

เราอยู่กับโลก เราก็แข่งขันกันพอแรงอยู่แล้วล่ะ ทำสิ่งใดๆ ก็เพื่อประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดก็เพื่อบุญกุศลๆ เรื่องระดับของโลกนี่ฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรม เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นโลกเป็นความทุกข์ความยาก คนเราจะมั่งมีศรีสุข ถือความสันโดษในชีวิต ถ้าถือความสันโดษในชีวิต ชีวิตของเรามีความสันโดษ ชีวิตของเรามันก็มีความอยู่ได้ไง ดูสิ บวชเป็นพระมีปัจจัยเครื่องอาศัยในการประพฤติปฏิบัติไง ในการประพฤติปฏิบัติ เราก็จะมาวัดมาวากัน

 

ถ้ามาวัดมาวา ในการประพฤติปฏิบัติมันก็มีแนวทางต่างๆ มากมายมหาศาล ความแตกต่างมากมายมหาศาลมันเป็นเรื่องทางโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ทางโลกหมายความว่า เวลากรรมฐาน ๔๐ ห้อง ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ถ้าทำความสงบ ๔๐ วิธีการ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตาท่านสอนปัญญาอบรมสมาธิๆ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญานั้นก็ปัญญาเพื่อเป็นสมาธิ ปัญญานั้นก็เพื่อความสงบระงับไง ถ้าปัญญาเพื่อความสงบระงับ เห็นไหม ว่าปัญญาๆ ปัญญาอะไรกัน ทางโลกๆ ไง

 

ตอนนี้ยืนยันกัน พระโสดาบันเป็นร้อยเป็นพันนั่นน่ะ เอาอะไรมายืนยัน เอาความจริงมาจากไหน ถ้ามันไม่มีความจริงขึ้นมา อย่ามายืนยันกันในนี้ ในนี้ใครไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะมายืนยันกัน ที่จะมาครอบงำกัน เพราะใครที่มาวัดเรา วัดไหนที่มีเจ้าอาวาสวัดนั้นเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้ารับผิดชอบแล้ว เขามีคนรับผิดชอบอยู่ ถ้ามีคนรับผิดชอบอยู่ เรามีสิทธิอะไร ใครมีหน้าที่สั่งสอน ใครมีหน้าที่อบรม ไม่มี เพราะอะไร

 

เพราะวัดกรรมฐาน วัดกรรมฐาน คนเข้าวัดเขาก็รู้อยู่แล้ว ต่างคนต่างต้องการความสงบระงับใช่ไหม ต่างคนต้องการที่สงัดใช่ไหม โดยกติกาก็ห้ามไปคุยกันอยู่แล้ว โดยกติกาของวัดนี้แต่ละกุฏิห้ามไปคุยกัน ถ้าจะมาคุยกันก็มาคุยกันได้ที่โรงน้ำร้อนเท่านั้น ไม่มีการไปครอบงำกัน ไม่ต้องมีใครมาครอบงำใคร ถ้าใครภาวนาเก่งแล้วเอาตัวให้รอดให้ได้ เอาตัวให้รอดให้ได้

 

เวลาหลวงตานะ เวลาพระไปลาท่านไปวิเวก ท่านบอกว่าให้ไปวิเวกนะ แล้วใครประพฤติปฏิบัติ มีคนมาเล่าให้ฟังด้วย แล้วเวลาพระถ้ามีปัญหานะ ท่านบอกว่าให้ไล่ออกไป แล้วถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มาสอนเราด้วย ให้มาสอนเราด้วย ให้มาสอนหน่อย

 

เวลาพูดธรรมะก็มาพูดกันต่อหน้าสิ ไปพูดอะไรกันลับหลัง ไปพูดกันลับหลังนะ พอพูดลับหลังแล้วมันเพ้อเจ้อ ความเพ้อเจ้อนะ คนเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันอยากดีอยากเด่นทั้งนั้นน่ะ มันอยากได้ของมันอยู่แล้ว ความอยากได้อยู่แล้ว แล้วไปกระตุ้นมัน กระตุ้นมันน่ะ กระตุ้นเขาไปเท่าไรมันก็หลุดทั้งนั้นน่ะ

 

เวลาทำเสียหาย ทำผิดพลาด มาภาวนาหลุดที่นี่หลายคนแล้ว เพราะอะไรล่ะ เพราะสั่งสอนกันเองไง คนนู้นก็สอน คนนี้ก็สอน เอ็งมีหน้าที่อะไร แล้วสุดท้ายแล้วนะ เขาโทรศัพท์มาที่วัดนี้ มาเรียกร้องความเสียหาย

 

เราถามเขาเลย เอาญาติเข้ามาที่นี่ บอกว่าเขาเป็นผู้เสียหาย เราเป็นผู้ที่ทำให้เขาเสียหายในกรณีของอะไรบ้าง

 

ไม่มี เราต่างหากเป็นที่ให้ที่พึ่งพิง ให้ที่พึ่งพาอาศัย แล้วเวลาสอน เราก็จะสอนอยู่ แต่เขาไม่เข้ามาหาเราเลย ไม่มีใครมาคุยธรรมะให้ฟังสักคนหนึ่ง

 

เวลามันสุมหัวคุยกันมันเก่ง เวลากับเรา ไม่มีใครสักคนเลย เหมือนเราเลยนะ ไปโรงพยาบาล ถ้าโรงพยาบาลไหนไม่มีหมอนะ โอ๋ย! เราร้องแรกแหกกระเชอเลย เราไม่ยอมเลยนะ เพราะไม่มีหมอรักษา แล้วเวลาไปโรงพยาบาลแล้วเรียกร้องหาแต่หมอ เวลาหมอมาช้าก็โกรธเขา

 

เวลาไปวัดไปวามันก็ต้องอยู่ที่อาจารย์ อาจารย์เป็นหมอ มันไม่เคยมาหาอาจารย์เลย มันไปหาแต่บุรุษพยาบาลนั่นน่ะ ทำอย่างนี้ก็หาย ทำอย่างนี้ก็ดี มันไปหาไอ้พวกอยู่ห้องดับจิต ไอ้พวกเก็บศพ เฮ้ย! ต้องภาวนาอย่างนี้ ซากศพออกทางนี้เยอะแยะเลย มันไปคุยกันอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็มาเรียกร้องความเสียหาย เสียหายอะไร

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ หน้าที่ของหมอ หน้าที่ของคนที่รับผิดชอบ เราเป็นคนรับผิดชอบ มีสิ่งใดต้องมาคุยกับเรานี่ ถ้าใครภาวนาติดขัดแล้วมาหาเรานี่ อย่าไปแอบสอนกัน ไม่มีหน้าที่ ไม่มีหน้าที่

 

แล้วเวลาสอนกันนะ มันสอนผิดๆ ไอ้คำว่า “ถูก” มันไม่มี ถ้าไอ้ที่ผิด ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ความคาดหมาย ปฏิบัติธรรมด้วยความด้นเดา ความคาดหมาย มันก็มีแต่ความคาดหมายทั้งนั้นน่ะ ไม่คาดหมายหรือ ไม่หวังหรือ ไม่ต้องการหรือ ทั้งนั้นเลย

 

นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าประพฤติปฏิบัติสัจจะความจริงๆ ถ้าสัจจะความจริง ความจริงมันมีหนึ่งเดียว ความจริงมีอันเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ เวลาสั่งสอนไปแล้วไม่มีสิ่งใดขัดและแย้งกัน

 

สิ่งที่ขัดและแย้งกัน ตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่นเวลาขัดแย้งกับท่าน ออกมาแล้ว พอหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว พวกนี้สิกขาลาเพศไปหมดเลย เวลาหลวงปู่มั่นอยู่นะ ไอ้พวกเก่งๆ เก่งๆ กับหลวงปู่มั่น อหังการกับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ไอ้พวกนี้สึกไปหมดเลย สึกไปมีครอบครัว แล้วกลับมาบวชใหม่ แล้วมาอ้างอิงว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น

 

แต่หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่ต้น ท่านระลึกถึง ท่านซาบซึ้ง ท่านเคารพด้วยหัวใจนะ มีสิ่งใดนะ ท่านระลึกถึงนะ เวลาระลึกถึงอาจารย์ หลวงปู่เจี๊ยะพูดกับหลวงตาประจำ ทำ”ไมระลึกถึงหลวงปู่มั่นน้ำตาไหลวะ ระลึกถึงหลวงปู่มั่น” ไปปรารภกับหลวงตา

 

หลวงปู่เจี๊ยะไปปรารภกับหลวงตา เราก็นั่งฟังอยู่ “ทำไมเราระลึกถึงหลวงปู่มั่นทีไรน้ำตาไหลทุกที เราระลึกถึงหลวงปู่มั่นทีไรน้ำตาไหลทุกที” นี่คนที่มันมีธรรมในหัวใจมันซาบซึ้ง

 

แล้วเวลาไปถามหลวงตา หลวงตาบอก “เราก็เป็นอย่างนั้นน่ะ” แล้วเวลาเป็นอย่างนั้นปั๊บ เขาก็บอกเลย “อู๋ย! พระอรหันต์ร้องไห้ จิตใจไม่เข้มแข็ง ถ้าเข้มแข็งก็ต้องเที่ยวฉ้อโกงเขา เที่ยวหลอกลวงเขา เที่ยวล้วงกระเป๋าเขานั่นแหละเข้มแข็ง ไอ้คนน้ำตาไหลมันใจอ่อนแอ”

 

หลวงตาบอกว่า ธรรมสังเวช ความสังเวชโดยธรรม ถ้าธรรมสังเวชนะ โดยธรรมชาติของคนมันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ คนที่มีธาตุ ๔ มันมีดิน น้ำ ลม ไฟในร่างกายนี้อยู่แล้ว เวลาเกิดความสังเวช สังเวชโดยธรรม มันกระเทือน หลวงตาท่านใช้คำว่า “ขันธ์ทำงานๆ” ขันธ์ทำงานคือความคิดทำงาน ความคิดทำงานมันก็เกิดสารเคมี สารเคมีมันก็สั่งการในร่างกายนี้ มันก็เป็นธรรมชาติของขันธ์มันทำงาน นี่ปลงธรรมสังเวช

 

ไอ้พวกหูตาบอดมันก็บอกว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พระอรหันต์ร้องไห้ไม่ได้”

 

แต่พระอรหันต์กับพระอรหันต์ท่านนั่งคุยกัน หลวงปู่เจี๊ยะท่านไปถามหลวงตาไง “ทำไมเราระลึกถึงหลวงปู่มั่นทีไรน้ำตาไหลทุกทีเลย น้ำตาไหลเลย”

 

หลวงตาท่านบอก “เราก็เป็น” แล้วหลวงตาท่านก็อธิบายไง

 

เราสังเวชไง สังเวชถึงครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ครอบครอง ๓ โลกธาตุ มีใครบ้างที่ได้เทศน์อบรมเทวดา อินทร์ พรหม หลวงปู่มั่นท่านเทศน์มาตั้งแต่สมัยอยู่เชียงใหม่ มาอยู่หนองผือ เทศน์อบรมเทวดา อินทร์ พรหมทั้งนั้นน่ะ มันมีใครทำได้ มันมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นที่ไหน แล้วท่านอยู่ของท่านด้วยความสงบระงับ ท่านอยู่ของท่านด้วยความสุขของท่าน ด้วยวิมุตติสุขของท่าน เวลาท่านตายไป หลวงตาท่านพูดเองเราจำแม่นเลย “หลวงปู่มั่นตาย เงินในวัดป่าหนองผือมีอยู่ ๖๐๐ บาท ๖๐๐ บาท”

 

บุคคลที่ยิ่งใหญ่ บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนั้นน่ะ นี่ไง เพราะอะไร เพราะท่านอยู่ด้วยความสุขในหัวใจของท่าน ท่านอยู่ด้วยความสุขในใจของท่านปั๊บ ถ้าใจเป็นสุข คนที่มาประพฤติปฏิบัติทุกคนปรารถนาอะไร ก็ปรารถนาความสุขทั้งนั้น ถ้าปรารถนาความสุขทั้งนั้น ความสุขก็คือความปกติของใจ ถ้าใจปกติขึ้นมา ให้เขาฝึกหัดขึ้นมา ให้เขาเป็นปกติเข้ามา เพราะคนที่เข้ามาวัดมาวามันมีความทุกข์ความยากมาทั้งนั้นน่ะ ใจมันอมทุกข์มา ใจมันอมทุกข์มา มาถึงวัดมาถึงวาแล้วมาจำศีลให้มันคลายทุกข์มันออกมา ถ้ามันคลายทุกข์ออกมาให้จิตใจของมันเป็นปกติ จิตใจของมันมีความสุข นั่นก็ยิ่งใหญ่แล้ว จะเอามรรคเอาผลมาจากไหน

 

เอามรรคเอาผล มาคุยกับเรานี่ อย่ามาแอบออเซาะฉอเลาะกันที่นี่นะ เพราะมันเสียหายมา มากมายพอแรงแล้ว เรานี่ลูกผู้ชายนะ รับผิดชอบหมดเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ สิ่งที่เกิดขึ้นมีความเสียหายนะ โดยที่เราไม่ได้ทำเลย แต่เขาแอบทำกัน แล้วเราก็เป็นผู้ที่รับผิดชอบ แบกหน้ารับผิดชอบหมดเลย รับผิดชอบทั้งผู้เสียหาย รับผิดชอบที่ผู้กระทำ

 

แล้วผู้กระทำยังแอบซ่อนอยู่นะ นึกว่าเขาไม่รู้ เอ็งทำความผิดพลาดเอาไว้มากมายมหาศาลนะ เพราะอะไร เพราะชีวิตคนคนหนึ่งนะ ทำให้คนดีๆ เป็นคนเสียไปได้อย่างไร คนที่เขาทุกข์ยากอยู่ทางโลกเขามาวัด เขาก็มาพึ่งพาอาศัยเพื่อจะฟื้นฟูให้เขาดีขึ้น ถ้าฟื้นฟูให้ดีขึ้น ฟื้นฟูให้ดีขึ้น เราก็ให้เขาแค่กำหนดพุทโธ ให้เขากำหนดลมหายใจเข้าออก ให้จิตใจเขาเป็นปกติเท่านั้นน่ะ

 

เอ็งมาสอนอะไรกันน่ะ วิปัสสนา ปัญญา ยาไม่ต้องกิน อะไรก็ทิ้งแม่งไป ธรรมะกูวิเศษ แล้วพอมันหลุดมันบ้า กูไม่เห็นมีใครรับผิดชอบเลยว่ะ กูคนเดียว

 

เราไม่ได้สอน ไม่ได้บอกใครสักนิดหนึ่ง ถ้าเราบอกเราสอนคือว่าให้หายใจเข้านึกพุท ให้หายใจออกนึกโธ คนเรานะ มันโดนบีบคั้นมาทางโลก โลกมันก็โดนบีบคั้นมาใช่ไหม มันก็ทุกข์มันก็ยากมาใช่ไหม แล้วคนเรามันก็จะหาที่พึ่งข้างนอก เวลาหาที่พึ่งข้างนอก ไปหาครูบาอาจารย์ก็ให้ครูบาอาจารย์เป่าหัวพ่วง! หาย พ่วง! หาย

 

นี่ไง ทำดีดีกว่าขอพร จิตใจของเอ็งอ่อนด้อย จิตใจของเอ็งไม่มีหลักเกณฑ์ใช่ไหม ก็มาวัด มาวัดเสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนถึงพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเรา ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเรา เราก็ตั้งสติ เรากำหนดพุทโธๆ ไม่ได้หรอก พุทโธมันคิดออก คิดไปร้อยแปด ทำไม่ได้หรอก ทำได้แสนยาก

 

แล้วพอทำได้แสนยากขึ้นมา เราก็พยายาม เจตนาให้มั่นคง ศรัทธาให้มั่นคงขึ้นมา แล้วพยายามหายใจเข้านึกพุท แล้วหายใจออกนึกโธ เราอยู่กับพุทธานุสติไง กรรมฐาน ๔๐ ห้องไง เราอยู่กับพุทธานุสติ เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ มันประเสริฐไหม

 

ดูสิ พวกเรา เขาพยายามจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ เห็นไหม เราไม่ต้องไป เราระลึกถึง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันจะเหนื่อยยาก มันจะเกียจคร้าน มันจะมีกิเลสคอยปิดบัง

 

ไอ้ทำนี่ทำเพื่อความดีนะ แต่กิเลสพญามาร ครอบครัวของมาร มันปัดแข้งปัดขาอยู่แล้ว แล้วคนมันก็ทุกข์ก็ยากกับทางโลกมาพอแรงแล้ว มาวัดมาวาก็เพื่อจะเอาความสงบระงับไง ถ้าความสงบระงับ ถ้าเขาสงบระงับได้มันก็สุดยอดของเขาแล้ว

 

แต่ความสงบระงับมันยิ่งแสนยากเพราะอะไร เพราะพญามารมันหลอกลวงมาให้หยำเปอยู่กับทางโลกอยู่แล้ว พอมาวัดมาวาขึ้นมาจะปฏิบัติ มันจะพ้นจากมือมาร มารมันจะยอมได้อย่างไร มารมันก็ยิ่งปลิ้นยิ่งปล้อน การประพฤติปฏิบัติมันก็ยิ่งยากขึ้น ๒ เท่า

 

คนเราทำความผิดทำความพลาดไปกับโลกก็ไม่รู้สึกสำนึกตัว มันก็ทำของมันไปใช่ไหม พอมันสำนึกตัวว่าเป็นความผิด มันจะทำคุณงามความดี เห็นไหม ความชั่วก็ทำไม่ได้ ต้องกลับมาทำคุณงามความดี มันไปต่อต้านกับเจตนาความนึกคิดในใจมากน้อยแค่ไหน

 

ไอ้กิเลสก็เหมือนกัน เวลาคนมาวัดมาวาพยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็ต้องต่อสู้กับกิเลสของตนอยู่แล้ว ต่อสู้กับความเคยชิน ต่อสู้กับชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ยังต้องมาต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนอีก ต่อสู้กับสิ่งที่มันบอกว่า “จอมปลอมๆ ถ้าใช้ปัญญาไปเลยอย่างนี้สุดยอด”

 

มันทุกข์มาจากโลก อยู่กับโลกมันก็ทุกข์มาอย่างนั้นแล้ว แล้วจะมาใช้ปัญญาห่าเหวอะไรในนี้อีก ปัญญามันต้องมีสัมมาสมาธิขึ้นมาก่อนสิ

 

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูดถึงพระที่ว่าใช้ปัญญาไปเลยๆ บอกว่าพวกนี้ทำสมาธิไม่เป็น แค่สมาธิก็ทำไม่ได้แล้ว

 

เขาบอกว่าไม่ต้องทำสมาธิ เพราะอะไร เพราะปัญจวัคคีย์ก็ไม่ได้ทำสมาธิ เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าไปแสดงธัมมจักฯ เลย

 

หลวงตาท่านยิ่งเศร้าซ้ำสองเข้าไปนะ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี นั่นคือการฝึกสมาธิ ปัญจวัคคีย์ฝึกสมาธิมา ๖ ปี ทำไมต้องไปสอนสมาธิเขา แต่คนที่ยังไม่ได้ฝึกสมาธิ ต้องสอนสมาธิก่อน เพราะตัวสมาธิจะแยกโลกกับธรรม

 

โลกคือสามัญสำนึก ความคิดสามัญสำนึกเราคือโลก คือเกิดจากหัวใจ พอจิตสงบเข้ามาแล้วเป็นสัมมาสมาธิ ต้องเป็นสมาธิที่ถูกต้องนะ ถ้าเป็นมิจฉามันจะเข้าสู่ธรรมไม่ได้

 

สัมมาสมาธิเป็นตัวแยกระหว่างโลกกับธรรม เราหนีโลกมาเพื่อจะเข้าสู่ธรรม แล้วใครจะเป็นคนชี้ว่าโลกหรือธรรม ฉะนั้น ถึงเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ถึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่มีคุณธรรมสามารถแยกโลกกับธรรมได้

 

แต่คนที่ยังแยกโลกกับธรรมไม่ออก มันก็ว่าปัญญาๆ คือปัญญา ปัญญาก็คือปัญญาโลกไง โลกียปัญญาไง ปัญญาของโลกๆ ไง จินตนาการไง คาดหมายไง มันเป็นจริงไปไม่ได้ มันเป็นจริงไปไม่ได้ มันไม่มีความจริง

 

แล้วพอมันเป็นจำนวนมากขึ้น ประชาธิปไตย เห็นไหม เขารับรองโสดาบันกัน ๑๓๐ กว่าคน โสดาบันเขาแจกกันของฟรี กลายเป็นธรรมะสำเร็จรูป ใครๆ ก็มีได้ แล้วเขาจะมีมากไปนะ แล้วพอต่อไปเราชาวพุทธไปวัดไปวากันนี่อย่าไป ทุกข์ยาก ลำบาก มาหากูนี่ได้โสดาบัน แล้วศาสนามันจะเหลืออะไรล่ะ

 

ความจริงเป็นสิ่งที่คนไม่เหลียวแล ความจริงเป็นสิ่งที่เข้าได้ยาก ความจริงเป็นสิ่งที่สุดยอดปรารถนาของชาวพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อไปนี้ไม่ต้อง มันตั้งกันเอง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันตั้งกันเอง นี่ไง ก็มันปัญญาโลกไง นี่ปัญญาโลกๆ

 

แต่ถ้ามันเป็นจริงนะ เราจะบอกว่า คนเราอยู่กับโลกก็ทุกข์อยู่แล้ว เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่สุดยอด เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เข้ามาแล้วเหลวไหล ยิ่งจะไปวัดปฏิบัติขึ้นมาก็ยังมีมาซุ่มมาซ่อน มาชี้มานำกันร้อยแปดพันเก้า ใช้ไม่ได้

 

มันเป็นหน้าที่ของเรา เพราะเราปล่อยมา พอมันปล่อยมา มันมีความเสียหายมา ด้วยความเสียหายนะ เพราะเสียหาย แต่เราลูกผู้ชาย รับไว้คนเดียว โทษนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย ให้ที่พึ่งพาอาศัยเขา ให้อาหารเขา ให้ทุกอย่างเลย...เรียกร้องค่าเสียหาย โอ้โฮ! งง

 

แต่นี่พูดถึงเราก็ทำให้มันจบไปแล้ว เราคิดว่ามันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกคนก็ต้องมีการเพลี้ยงพล้ำอะไรกันมา พอมันมีมาแล้ว เราต้องการให้มันจบไง จบไปแล้วอย่ามาเกิดซ้ำสองซ้ำสาม จะไม่มีครั้งที่สองแน่นอน เอวัง